, , ,

“คอเลสเตอรอล” มหันตภัยเงียบที่ใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

คอเลสเตอรอลมหันตภัยเงียบที่ใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้



  ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ คอเลสเตอรอล กันก่อน คอเลสเตอรอล คือ ไขมันประเภทหนึ่ง มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว พบได้ในเซลล์ของอวัยวะทั่วไปในร่างกาย จินตนาการง่ายๆ ว่าส่วนประกอบที่เป็นของเหลวในตัวเรา ล้วนมีคอเลสเตอรอลแทรกซึมเป็นเจ้าถิ่นอยู่ทุกอณู ไม่เว้นแม้แต่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างก้อนไขมันทรงประสิทธิภาพที่เรียกว่า สมอง
คอเลสเตอรอลมีบทบาทสำคัญหลายประการอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่างๆ เข้าออกเซลล์ หรือรับส่งสัญญาณมาสู่เซลล์ และยังเป็นสารตั้งต้นการสร้างน้ำดีสำหรับย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการผลิตสารจำพวกสเตียรอยด์ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่ไปควบคุมระบบเกลือแร่และการทำงานของไต เป็นต้น
ถ้าคุณคิดว่าคอเลสเตอรอลส่วนใหญ่มาจากอาหารแล้วล่ะก็ เปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วตับของคุณสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมาเอง และเพราะคอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดไม่ละลายในน้ำ ก่อนร่างกายนำไปใช้จึงต้องมีการรวมตัวเข้ากับโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ “อะโพโปรตีน” (apoprotein) เพื่อเปลี่ยนรูปเป็น “ไลโพโปรตีน” (lipoprotein) หน้าตาคล้ายไข่แดงที่ถูกหุ้มด้วยไข่ขาว หลังเสร็จสิ้นการเปลี่ยนรูปร่าง คอเลสเตอรอลในรูปแบบไลโพโปรตีนจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

คำถามแล้วเจ้า “คอเลสเตอรอล” หายไปไหน???


นายแพทย์เจริญลาภ อุทานปทุมรส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 3 อธิบายว่า คอเลสเตอรอลส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสร้างเป็นน้ำดีหรือน้ำย่อย และอีกส่วนนำไปสร้างไลโพโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ วีแอลดีแอล (VLDL: Very Low-Density Lipoprotein) ซึ่งประกอบไปด้วยไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นส่วนใหญ่ มีคอเลสเตอรอลอยู่เล็กน้อยพร้อมโปรตีนที่ช่วยให้มันละลายอยู่ในเลือดได้ ระหว่างทางที่วีแอลดีแอลเดินทางในเส้นเลือด จะมีเอนไซม์ที่ย่อยเอาไตรกลีเซอร์ไรด์ไปใช้ ซึ่งไตรกลีเซอร์ไรด์นี้ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนถึง 2 เท่า ช่วยในการสร้างน้ำนม เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของกล้ามเนื้อและหัวใจ
ไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ใช้ไม่หมดจะถูกนำไปเก็บไว้ในไขมัน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง เมื่อไตรกลีเซอร์ไรด์ถูกดึงออกไปจากวีแอลดีแอลหมดแล้วจะเหลือเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สุด ในชื่อ แอลดีแอล (LDL: Low-Density Lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี แต่ยังมีประโยชน์คือ เมื่อผ่านไปถึงอวัยวะไหน ก็จะถูกดึงคอเลสเตอรอลไปใช้งานได้ทันที เมื่อวนครบทุกส่วนแล้วหากแอลดีแอลยังถูกใช้ไม่หมด ก็จะถูกลำเลียงเข้าสถานีสุดท้ายคือตับ ซึ่งตับก็จะนำแอลดีแอลที่เหลือนี้ไปสร้างเป็นวีแอลดีแอลอีกครั้ง เป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป

แอลดีแอล VS เอชดีแอล กำเนิดไขมันตัวร้าย-ตัวดี


จริงๆ แล้วทั้งแอลดีแอลและเอชดีแอลมีที่มาเหมือนกัน คือเป็นคอเลสเตอรอลในรูปไลโพโปรตีน แต่แตกต่างกันที่น้ำหนักของโมเลกุล มวลที่มีโมเลกุลคอเลสเตอรอลมากกว่า เรียกว่า แอลดีแอล หรือไขมันตัวร้ายร้าย ที่แม้จะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ข้อร้ายที่ปรากฏ คือ นำไขมันและไตรกลีเซอร์ไรด์ออกจากตับไปสะสมไว้ตามหลอดเลือด สร้างปัญหาให้แก่หลอดเลือด
คนที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคอเลสเตอรอล เมื่อรวมกับที่ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลออกมาตามปกติ จะทำให้วัฎจักรคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่สมดุล คือมีมากจนเกินพอดี เหลือใช้ ตับทำลายไม่ทัน บางส่วนจึงเหลือรอดออกไปสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงบริเวณนั้นสูญเสียการทำงาน ทั้งตีบ ตัน หรือแตก เป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา
   ส่วนมวลที่มีโมเลกุลของคอเลสเตอรอลน้อยกว่า เรียกว่า เอชดีแอล (HDL: High density Lipoprotein) อุดมไปด้วยฟอสโฟลิพิด มีหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือด เก็บคราบไขมันที่แอลดีแอลทิ้งไว้กลับคืนมาที่ตับ แล้วขับออกทางน้ำดี ส่วนหนึ่งจะถูกไฟเบอร์ในอาหารจับและขับออกทางอุจจาระ จะเปรียบเอชดีแอลว่าเป็นผู้พิทักษ์ความสะอาดก็คงไม่ผิดนัก
   นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไขมันร้าย คอยเสริมการทำงานของแอลดีแอล นั่นคือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ที่คอยขัดขวางการทำงานของเอชดีแอล และเมื่อใดที่ร่างกายเรามีโรคอย่างความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน เจ้าไตรกลีเซอร์ไรด์และแอลดีแอล ก็พร้อมปฏิบัติการขั้นสุดยอด ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น จนอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้

อันตรายจากไขมันร้าย แอลดีแอล


นพ.ธีระพร ไทยจินดา อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าว่าในคนปกติ ที่ไม่มีความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน แม้ผลตรวจร่างกายจะบอกว่าคุณมีปริมาณแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ทั้งยังมีค่าเอชดีแอลที่ต่ำ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะเจ้าไขมันวายร้าย 2 ชนิดนี้ จะออกฤทธิ์วาดลวดลายได้ก็ต่อเมื่อร่างกายเรามีอาการของโรคสองชนิดข้างต้นเท่านั้น ถ้าเรายังแข็งแรงดีวายร้ายก็จะไม่มีพิษสงอะไรเลย แต่ถ้าคุณมีอาการของโรคใดโรคหนึ่ง หรือทั้งสองโรค กอปรกับอายุที่มากขึ้น แอลดีแอลก็จะได้ใจพร้อมทำร้ายอวัยวะสำคัญๆ อย่างหัวใจ สมอง และตับ ไต ได้อย่างน่ากลัว
คอเลสเตอรอลกับหัวใจ จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่า คอเลสเตอรอลเริ่มสะสมตามหลอดเลือดหัวใจได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี และจะอันตรายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลมากกว่าปกติ หากพบว่ามีความเสี่ยงดังกล่าวและผลตรวจร่างกายชี้ชัดว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง ควรรีบไปพบแพทย์
คอเลสเตอรอลกับสมอง เมื่อคอเลสเตอรอลเข้าไปสะสมในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่ว่าจะบริเวณใดก็ตาม จะก่อให้เกิดความผิดปกติบริเวณนั้นๆ เช่น หากเส้นเลือดบริเวณสมองส่วนควบคุมการทรงตัวเกิดตีบ ตัน หรือแตก ร่างกายก็สูญเสียการควบคุมการทรงตัว กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือพาร์คินสัน หากเกิดกับเส้นเลือดสมองส่วนควบคุมการรับรู้ อาจทำให้ความจำเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ เป็นต้น แต่ก่อนที่อาการผิดปกติของเส้นเลือดจะส่งผลถึงสมอง มักจะเกิดขึ้นกับหัวใจก่อนเสมอ
คอเลสเตอรอลกับตับและไต หากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับหรือไตเกิดอาการตีบ แตกหรือตัน ก็อาจทำให้ตับหรือไตสูญเสียการทำงาน ถึงขั้นตับวายหรือไตวายจนเสียชีวิตได้



   สรุปแล้ว คอเลสเตอรอลจะทำร้ายเราได้ต่อเมื่อเราเป็นโรคหรือเสี่ยงกับโรคอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และโดยธรรมชาติ คอเลสเตอรอลจะไปฝังตัวเป็นคราบอยู่ตามเส้นเลือดแดงหลักที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ การที่จะเกิดอันตรายใดๆ หรือรุนแรงแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับว่าเส้นเลือดที่มีปัญหานั้นอยู่บริเวณไหนและโดนทำลายไปมากเพียงใด คำเตือนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าถึงเวลาลดคอเลสเตอรอลหรือยัง จะอยู่ในสมุดรายงานการตรวจร่างกายประจำปีของคุณ นอกจากนี้ วิธีการป้องกันที่สุดคือ การออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน จะช่วยเพิ่มปริมาณเอชดีแอล เพื่อต่อกรกับแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์อย่างได้ผล

, , ,

นมเปรี้ยว ช่วยลดน้ำหนัก จริงหรือเปล่า ?

นมเปรี้ยว : ช่วยลดน้ำหนัก จริงหรือเปล่า ?

นมเปรี้ยว : ช่วยลดน้ำหนัก จริงหรือเปล่า ?
บทความโดย: นายวรชาติ ธนนิเวศน์กุล

มีหลายๆ คนเข้าใจว่า นมเปรี้ยว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โยเกิร์ต ช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งในความเป็นจริงจะช่วยได้มากหรือน้อยนั้นเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารอื่นๆร่วมด้วย บทความนี้จะแนะนำให้ท่านรู้จักกับ นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต ว่ามีสรรพคุณดังที่กล่าวขานหรือไม่
นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต คืออะไร 

นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต มีคำจำกัดความ หมายถึง น้ำนมโค หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากน้ำนมโคที่เพาะด้วยเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งนี้อาจเติมวัตถุอื่นที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิตหรืออาจปรุงแต่งสีและรสด้วยก็ได้ และประกอบด้วยมาตรฐานอื่นๆ อีกคือ
มีโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.5 ของน้ำหนัก
ไม่มีบักเตรีชนิด อี. โคไล ในนมเปรี้ยว 0.1 มิลลิลิตร
ไม่มีวัตถุที่ให้ความหวานอย่างอื่นนอกจากน้ำตาล
การเก็บรักษาอุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส จำหน่ายไม่เกิน 7 วัน นับตั้งแต่วันบรรจุ

ถ้าความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์การอาหาร นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักของนม โดยมีการเติมเชื้อจุลินทรีย์หรือยีสต์ลงไปเพื่อหมักให้เกิดกรดแลคติค ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีรสเปรี้ยว มีกลิ่นเฉพาะตัวตามแต่เชื้อที่ใช้ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
โยเกิร์ตชนิดครีม (Cream Yoghurt) เป็นนมเปรี้ยวที่ทำจากนมเกือบ 100 % ( Natural Yoghurt ) ถ้าเป็นแบบเติมผลไม้( Flavoured Yoghurt ) จะมีนมประมาณ 50-85 % และมีการเติมนมผงพร่องมันเนยเพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีน
โยเกิร์ตพร้อมดื่ม (Drinking Yoghurt) เป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ทำจากโยเกิร์ตชนิดครีมผสมด้วยน้ำผลไม้ มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบร้อยละ 7 - 10



ประโยชน์ต่อร่างกายของนมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ตเป็นแห่งอาหารที่ให้โปรตีนและแคลเซียมที่มีคุณภาพ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนนมทุกประการ ถ้าเป็นโยเกิร์ตชนิดครีม ที่ไม่ผสมผลไม้ แต่ถ้าเป็นชนิดอื่นสัดส่วนคุณค่าจะลดตามขนาดและปริมาณนมที่ใช้
ช่วยในการขับถ่ายได้ดี ในคนที่มีอาการท้องผูก เพราะมีจุลินทรีย์โยเกิร์ตช่วยในการย่อย
ใช้ทดแทนในคนที่ไม่สามารถดื่มนมสดได้ เนื่องจากไม่มีจุลินทรีย์สำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม



วัยใดเหมาะที่จะรับประทานนมเปรี้ยวนมเปรี้ยวนั้นเหมาะสำหรับ การบริโภคในทุกวัยโดยเฉพาะ เพศหญิง เพื่อให้ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมและยังมีประโยชน์สำหรับ กลุ่มคนที่ไม่สามารถดื่มนมได้ตามปกติ เนื่องจากร่างกายคนเหล่านั้นไม่มีน้ำย่อยแลคเตสสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ เมื่อน้ำตาลแลคโตสไม่ถูกย่อยสลายผ่านไปลำไส้ใหญ่ จุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่จะสร้างน้ำย่อยเกิดเป็นกรดและแก็ส ทำให้มีอาการไม่สบายท้อง และท้องเสียได้ จึงให้รับประทานนมเปรี้ยวแทน
อย่างไรก็ตามก็มีข้อควรระวังในกลุ่มเด็กเล็ก เพราะการรับประทานนมเปรี้ยวโดยเฉพาะนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและมีสารอาหารจากนมน้อยกว่าชนิดครีมที่ไม่ผสมผลไม้ จะทำให้เด็กได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินพอทำให้มีภาวะน้ำหนักเกินได้
การรับประทานที่เหมาะสม ที่จะส่งผลดีต่อร่างกาย ควรรับประทานในปริมาณใกล้เคียงกับการดื่มนม คือวันละ 2 ถ้วย (Natural Yoghurt) ซึ่งจะทำให้ได้แคลเซียม 400 – 500 มิลิกรัมและเมื่อได้รับแคลเซียมจากอาหารอื่นด้วยก็จะเพียงพอกับความต้องการแคลเซียมในแต่ละวัน


การเลือกซื้อนมเปรี้ยวสิ่งแรกสุดและสำคัญยิ่งคือ จะต้องดูวันหมดอายุ ซึ่งพิมพ์ไว้บนภาชนะบรรจุ
ดูสภาพภาชนะบรรจุว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ มีรอยรั่ว รอยบุบหรือไม่ ถ้ามีหรือสภาพไม่ดีก็ไม่ควรซื้อเพราะจะทำให้เป็นผลเสียต่อสุขภาพได้
หากเป็นนมเปรี้ยวชนิดครีม จะต้องมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ไม่แยกชั้นระหว่างนมกับน้ำ
นมเปรี้ยวชนิดพร้อมดื่มไม่ควรมีตะกอนที่ก้นขวด เพราะอาจเก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมก่อนนำมาขาย




นมเปรี้ยวช่วยลดน้ำหนักจริงหรือ ?มีหลายงานวิจัย พบว่า นมเปรี้ยวช่วยลดน้ำหนักได้ซึ่งยังไม่มีการยืนยันที่แน่นอนเพราะเป็นการทำวิจัยในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ควบคู่ไปด้วย และนมเปรี้ยวที่มีผลต่อการลดน้ำหนักในห้องทดลอง จะเป็นนมเปรี้ยวชนิดครีม รสธรรมชาติ (Natural Yoghurt) เท่านั้น เนื่องจากนมเปรี้ยวชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับนมสด ซึ่งให้สารอาหารที่ค่อนข้างครบเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหลายกลุ่ม เมื่อคุณรับประทานนมเปรี้ยวก็ควรจะต้องควบคุมปริมาณอาหารอื่นด้วย พร้อมกับออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะเป็นวิธีการสร้างสมดุลให้แก่ร่างกายและป้องกันไม่ให้ร่างกายรับพลังงานส่วนเกินอีกด้วย แต่เนื่องจากกระแสการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของสื่อโทรทัศน์ มีการเน้นเรื่องนางแบบหุ่นบอบบางกับการดื่มนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม จึงทำให้เกิดค่านิยม/กระแสความเชื่อว่ารับประทานนมเปรี้ยวแล้วลดน้ำหนักได้อีกเหตุผลหนึ่ง ในทางตรงกันข้ามการรับประทานนมเปรี้ยวที่มีส่วนผสมของผลไม้ หรือน้ำผลไม้ที่มีการผสมน้ำตาล ก็จะทำให้ได้รับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูง มีผลทำให้น้ำหนักไม่ลดแล้ว ยังมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานอีกด้วย

ดังนั้น ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก ก็ควรที่จะสร้างสมดุลให้กับร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบ3มื้อ โดยเพิ่มการกินผักและผลไม้รสไม่หวานร่วมเข้าไปในมื้ออาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันมากจนเกินไป ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยและ อย่าลืมว่า หัวใจของการลดน้ำหนักที่สำคัญ ก็คือ การรักษาวินัยในตนเอง ไม่รับประทานตามใจปาก เพราะทำให้ลำบากกายได้

ขอบคุณที่มา : http://nutrition.anamai.moph.go.th/

, , ,

5วันฉันจะผอมด้วยพลัมดีไลท์

            5วันฉันจะผอมด้วยพลัมดีไลท์
           ไม่ต้องง้อสูตรลดอ้วนของใคร


Plumdelite ผลไม้ดีท็อกซ์ลำไส้ แค่เม็ดเดียวก็รู้สึกได้ ล้างสารพิษในลำไส้ กระแสฮิตฟีเวอร์ รับรองจะติดใจ รสชาติอร่อยเวอร์ๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ ไม่ใช่ยา ไม่ใช่แคปซูล ไม่กดประสาท ปลอดภัยจ้า!!!




***โปรโมชั่นพิเศษเดือนนี้จาก 1,500 บาท เหลือเพียง 1,190 บาท จัดส่ง ems ฟรีทั่วประเทศ***



ทักมาคุยกันได้จ้าไอดีไลน์ : aui_butterfly

หรือโทรมาที่ 0863660842

, , , ,

ไขความลับ “ชาผู่เอ๋อ” ตำนานชาลดน้ำหนัก 2,000 ปี

..ไขความลับ “ชาผู่เอ๋อ”

..ตำนานชาลดน้ำหนัก 2,000 ปี


ชาผู่เอ๋อ (จีน: 普洱茶) เป็นชาที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลหยุนหนาน (ยูนนาน) ที่อำเภอผู่เอ๋อ โดยชนชาติหยี ซึ่งเป็นชนชาติส่วนน้อยของมณฑลหยุนหนาน ชาผู่เอ๋อ นับว่าเป็นชาที่ดังและมาแรงมากในปัจจุบัน เปรียบกันว่ามีราคาเท่ากับทองคำเลยทีเดียว ชาผู่เอ๋อเป็นชาหมัก น้ำชามีสีดำ ผลิตมากจากชาพันธ์ใบใหญ่ยูนนานเท่านั้น ชาชนิดนี้ผู้ใดได้ดื่มเป็นครั้งแรกจะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรงและรสชาติเข้มข้นมาก แต่เมื่อดื่มเป็นครั้งต่อๆ ไปจะรู้สึกติดใจจนลืมไม่ลง ชาผู่เอ๋อมีกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณ

โดยการหมักไว้ในเข่งตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่และรองด้วยใบตอง หมักแล้วอัดเป็นก้อนตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าโต๊ะกลม ๆ แล้วเก็บไว้ตั้งแต่ 1 ปี 5 ปี 10 ปี ไปจนถึง 20 ปี แล้วนำออกขายเมื่อ 2,100 ปีก่อน ได้มีการค้นพบใบชาและริเริ่มการปลูกชา ในเวลาต่อมา แต่ชาผู่เอ๋อนั้น ได้มีประวัติความเป็นมาราวๆ 1,700 กว่าปี


คุณสมบัติของชาผู่เอ๋อ นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ Polyphenol Catechin แล้ว ยังมีเอ็มไซม์ พิเศษที่เกิดจากการหมักชา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างความร้อนของร่างกาย และการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ ลดการเกิดปัญหาโรคอ้วน
เอ็มไซม์พิเศษตัวนี้ ยังทำให้ไขมันจับตัวกันเป็นก้อนและถูกขับออกจากร่างกายทางระบบขับถ่าย
ดังนั้นคนจีนจึงนิยมดื่มชาผู่เอ๋อระหว่างหรือหลังอาหารเพื่อชำระล้างไขมัน & น้ำมันต่างๆ ในอาหารออกจากร่างกาย


มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับชาผู่เอ๋อมากมาย แต่ผลงานวิจัยที่โดดเด่นชิ้นหนึ่ง นั่นคือ ผลงานของศาสตราจารย์เบนาร์จั๊คท์ของโรงพยาบาลในกรุงปารีสให้คนไข้ที่มีไขมันในเลือด มากเกินไป 20 คนดื่มน้ำชาผู่เอ๋อวันละ 3 ชาม เมื่อหนึ่งเดือนผ่านไป พบว่าไขมันในเลือดของคนไข้เหล่านี้ได้ลดลงไปหนึ่งในสี่ แต่ไขมันในเลือดของคนไข้ที่ดื่มน้ำชาชนิดอื่น ซึ่งได้ดื่มน้ำชาเท่ากันนั้น กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย


ชาผู่เอ๋อ ลดระดับคอเลสเตอร์รอล ไตรกลีเซอไรด์  ช่วย ลดไขมันเลว (LDL) และ เพิ่มไขมันดี (HDL) ในกระแสเลือดจึงทำให้เลือดสะอาด
ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง และมีคุณสมบัติในการชะลอการปล่อย glucose สู่กระแสเลือด จึงช่วยต้านการเกิด โรคเบาหวาน& ลดปัญหาน้ำตาล, ไขมัน และความดันในเส้นเลือด

ชาผู่เอ๋อมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ บางชนิด  ที่ช่วยในเรื่อง ระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก และขับของเสียสารพิษ ออกจากร่างกายได้ดี ดังนั้นนักดื่มชาทั้งหลายจึงชาผู่เอ๋อว่า ชาอายุวัฒนะเพราะสาเหตุหลักของความเสื่อม และโรคภัยต่างๆ นั้น  มาจากการสะสมสารพิษเข้าไปทุกวัน แต่ขับออกมาไม่หมด

หากมีการชงชาผู่เอ๋อในปริมาณ และระดับความเข้มข้นที่เหมาะสม  เมื่อดื่มเข้าไปในร่างกาย ชาผู่เอ๋อจะทำหน้าที่เหมือนกับแผ่นฟิล์มบางๆ ที่ช่วยในการ ปกป้องและเคลือบกระเพาะอาหาร เมื่อดื่มติดต่อกันก็จะช่วยดูแลอวัยวะในส่วนของกระเพาะอาหารให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอ..


, , ,

เตือนภัย “ยิ่งพุงใหญ่ ยิ่งตายเร็ว”

                แพทย์-นักโภชนาการเตือน “ยิ่งพุงใหญ่ ยิ่งตายเร็ว”

/data/content/24325/cms/e_bijklmsuy358.jpg
          โรคอ้วนลงพุง ถือเป็นภัยเงียบใกล้ตัวที่หลายคนคาดไม่ถึง “ยิ่งพุงใหญ่เท่าไร ยิ่งตายเร็วเท่านั้น” ทั้งยังเสี่ยงจากโรคร้ายที่จะตามมาทั้งโรค หัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งสาเหตุนั้นก็ไม่ใช่อื่นไกลแฝงมากับพฤติกรรมการกินแบบผิดๆ นั่นเอง
          พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ให้ข้อมูลในการสัมมนาที่จัดโดยชมรมโภชนวิทยา มหิดล ร่วมกับ บ.ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ว่า โรคอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome) เป็นฆาตกรเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กรรมพันธุ์ และไม่ออกกำลังกาย
          คนที่อ้วนลงพุงจะมีการสะสมของไขมันในช่องท้องมากเกินไป ซึ่งไขมันเหล่านี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนเกิดภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรังตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถวางแผนในการควบคุมอาหารด้วยการควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ถูกชนิด ปริมาณ และถูกเวลา รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น
          ด้าน อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ให้การปรึกษาด้านโภชนบำบัด กล่าวว่า แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วนลงพุง และโรคร้ายต่างๆ แต่ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของอาหารทุกมื้อจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด คือ การเลือกใช้ชนิดของไขมันและน้ำมันที่ดีที่มีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ และไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ และสามารถนำไปใช้แทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย
          อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันจะต้องเลือกชนิดละอ่านฉลากด้านโภชนาการอย่างละเอียด เพื่อลดความเสี่ยงโรคร้าย ส่งเสริมสุขภาพ และห่างไกลภาวะโรคอ้วนลงพุง
          ขณะที่ ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล แนะถึงวิธีการกินต้านโรค-เสริมสุขภาพว่า ให้หันมาทานผักผลไม่ให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงโรคร้ายและสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
          อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนส่วนใหญ่กินอาหารนอกบ้าน ทำให้ไม่สามารถควบคุมวัตถุดิบในการทำได้ทั้งผัก เนื้อ หรือชนิดของน้ำมัน ดังนั้น จึงควรทำอาหารกินเองอย่างน้อยในวันหยุด นอกจากนี้ต้องหันมากินผัก ผลไม้ให้มากขึ้น ซึ่งคนที่อ้วนลงพุง รวมถึงเด็กๆ ส่วนใหญ่จะไม่ชอบกินผักและผลไม้ เราจึงต้องช่วยหาวิธีการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยอาจใช้วิธีบดผัก และผลไม้ผสมลงไปในอาหารเพื่อง่ายต่อการบริโภค รวมถึงการออกกำลังกาย สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการเดิน พยายามเดินให้มาก เป็นต้น

          ขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน

, , ,

ระวัง!!! โรคอ้วนคุกคามชาวโลก

                                โรคอ้วนคุกคามชาวโลก

ผลการศึกษาของสถาบันการวัดและประเมินผลสุขภาพ (ไอเอชเอ็มอี)แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านการแพทย์ เดอะแลนเชต พบว่า ประชากรเพศชายในออสเตรเลียมีน้ำหนักเกินมาตรฐานถึง 68% ขณะเดียวกันประชากรหญิงที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานก็สูงถึง 56%
/data/content/24598/cms/e_abdfhkps2369.jpg
          จากการศึกษาพบด้วยว่า พลเมืองหลายประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังถูกโรคอ้วนคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ นิวกินี รวมทั้งหมู่เกาะต่างๆ โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 30 พุ่งขึ้นจาก16% ในปี 1980 มาอยู่ที่ระดับ 29% ในปีนี้ ขณะที่โรคอ้วนในผู้หญิงเพิ่มในอัตราแบบก้าวกระโดดในช่วงเวลาเดียวกันจาก17% มาอยู่ที่ 30%
          นอกจากผู้ใหญ่แล้ว โรคอ้วนในเด็กก็มีอัตราเพิ่มขึ้นทั่วโลกจนน่าเป็นกังวล ทั้งนี้พบว่าเด็กออสเตรเลียเสี่ยงที่จะเกิดโรคอ้วนสูงขึ้นจากปี 1980 ที่ระดับ 16% พุ่งมาอยู่ในระดับ 24% ในปัจจุบัน
/data/content/24598/cms/e_efijklmvw469.jpg
          การศึกษายังพบด้วยว่า ประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนสูงมากนับตั้งแต่ปี 1992-2002 เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งพบว่าประชากรโลกที่กำลังประสบปัญหาโรคอ้วนถึง 2 ใน 3 อาศัยอยู่ในกลุ่มประเทศนี้ แถมโรคอ้วนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ด้วย
          อย่างไรก็ดี ปัญหาโรคอ้วนนี้ยังไม่มีการรณรงค์แก้ไขอย่างจริงจังเหมือนการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ ดังนั้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพของประชากรที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง เพื่อลดภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพประชากรโลกนี้ให้ลดลง


          ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

, , ,

5 วิธีลดด่วน สำหรับคนอ้วนลงพุง

5 วิธีลดด่วน สำหรับคนอ้วนลงพุง

5 วิธีลดด่วน สำหรับคนอ้วนลงพุง (emaginfo)

          โรคอ้วนลงพุงหรือ Metabolic syndrome เป็นภาวะที่อ้วนโดยเฉพาะส่วนเอวและทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ Metabolic syndrome คำนี้เป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้การอย่างแพร่หลาย หมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ ส่งผลทำให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในที่สุดจะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง สมัยก่อนเรียกกลุ่มโรคนี้ว่า Syndrome X, insulin resistance syndrome


      เกณฑ์การวินิจฉัย

          เพราะในการวินิจฉัยภาวะอ้วนลงพุงตามเกณฑ์ของ Adult treatment Panel III และดัดแปลงมาใช้กับชาวเอเชีย ผู้ป่วยจะต้องมีลักษณะ 3 ใน 5 ข้อดังต่อไปนี้

         1. จะต้องอ้วนชนิดลงพุง กล่าวคือมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร และ 80 เซนติเมตร ในชายและหญิงตามลำดับ

         2. มีความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท หรือได้รับยารักษาความดันโลหิต

         3. มีระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน

         4. มีระดับไขมันชนิดดีน้อยกว่า 40 และ 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับชายและหญิง หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน

         5. มีระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

          จากเกณฑ์การวินิจฉัยดังกล่าว คุณเพลินใจ ซึ่งมีรอบเอวเกิน 80 เซนติเมตร มีความดันโลหิตเกิน 130/85 มิลลิลิตรปรอท ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 300 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงเข้าเกณฑ์ของภาวะอ้วนลงพุง ในขณะที่คุณคณิตไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว เพราะรอบเอวไม่เกิน 90 เซนติเมตร และความดันโลหิตไม่เกิน 130/85 มิลลิลิตร ถึงแม้ว่าจะมีระดับไขมันในเลือดเท่ากันก็ตาม

          โดยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 3 ข้อ ซึ่งเข้าข่ายว่าเป็นภาวะอ้วนลงพุงนั้น มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 4 ข้อ จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 3 เท่า รวมถึงเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 24 เท่า ซึ่งกรณีของคุณเพลินใจที่มีปัจจัยเสี่ยง 3 ข้อ จึงมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า

          ภาวะอ้วนลงพุงก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพหลายประการ โดยขึ้นกับองค์ประกอบของโรค ได้แก่

           ทำให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบจึงเกิดโรคหัวใจได้ง่าย

           ไตจะขับเกลือออกได้น้อยลง ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง

           ไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดตีบ เพราะเลือดจะแข็งตัวได้ง่ายทำให้อุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจ ทำให้เป็นโรคเบาหวานได้ง่าย

          จะเห็นว่าผลเสียส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อหลอดเลือดแดงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน หรือเบาหวาน

วิธีลดพุง


      การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

          เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มโรค metabolic syndrome ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคเบาหวาน รวมถึงจะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอื่นด้วย ทำให้การรักษาโดยการปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น

         1. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยการลดอาหารประเภทไขมันลง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ที่ติดมัน หนังสัตว์ อาหารทะเลพวกกุ้งและปลาหมึก น้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว โดยไม่ควรรับประทานอาหารพวกแป้งเกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน แต่ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก พืชตระกูลถั่ว

         2. ลดอาหารเค็ม ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความดันโลหิต

         3. ลดน้ำหนัก พบว่าการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัว จะชะลอหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

         4. แนะนำให้ออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ในกรณีที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้วการออกกำลังกายจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น

         5. ปรับเปลี่ยนอาหาร


      การปรับเปลี่ยนอาหารที่มีส่วนช่วยลดไขมันช่องท้อง ได้แก่

         1. เปลี่ยน "ข้าวขาว-แป้งขาว-น้ำตาล" เป็นธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังเติมรำ(โฮลวีท) ฯลฯ, ลดเครื่องดื่มเติมน้ำตาล เช่น ชาเขียวรสหวาน-กาแฟเย็น ฯลฯ

         2. กินโปรตีน (ถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตร งา ไข่ เนื้อ นม) ที่ไม่ผ่านการทอด ลดเนื้อสำเร็จรูป ลดเนื้อติดมัน ลดอาหารทอด

         3. ลดไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ

         4. ลดไขมันทรานส์ หรือไขมันแปรรูปในโรงงาน เช่น เบเกอรี่ คุกกี้ เค้ก ขนมใส่ถุง ฟาสต์ฟูด ฯลฯ

         5. ไม่ลดน้ำหนักเร็วเกิน 1/2 กก./สัปดาห์ เนื่องจากร่างกายอาจปรับตัวเข้าสู่ภาวะขาดอาหาร ซึ่งจะเพิ่มการสะสมไขมันช่องท้องได้ (การลดน้ำหนักเร็วเพิ่มเสี่ยงหนังเหี่ยว หน้าแก่ได้เช่นกัน)


          หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ไขมัน หรือความดันโลหิตได้ตามเป้าหมาย ก็จำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุม โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับโรคที่เป็น
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บ : http://health.kapook.com/

 

ลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วยผลไม้ สนใจโทร 0863660842 © 2012 | Designed by Cheap Hair Accessories

Thanks to: Sovast Extensions Wholesale, Sovast Accessories Wholesale and Sovast Hair